- 18.00 น. คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ประตูที่ 10 เคาร์เตอร์ Wเจ้าหน้าที่บริษัทฯ ให้การต้อนรับ20.50 น. เหิรฟ้าสู่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย โดยสายการบินแอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI 331(ใช้เวลาบินประมาณ 4.20 ชั่วโมง)23.40 น. ถึงสนามบิน ฉัตราปตี ศิวะจิ เมืองมุมไบหรือบอมเบย์ หลังผ่านเดินพิธีการนำท่านเข้าพักที่โรงแรม JW MARIOTT - ( 5*) หรือเทียบเท่า
ทัวร์อินเดียเทศกาลคเณศจตุรถี มุมไบ-ปูเน่
ทัวร์
อินเดีย(ทั้งประเทศ)
ระยะเวลา
7 วัน 5 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
8 - 14 กันยายน 2562
Hilight
ทัวร์อินเดียเทศกาลคเณศจตุรถี ชมเทศกาลคเณศจตุรถีที่มุมไบและปูเน่ไปกับ โกลบอล ฮอลิเดย์
ขอแนะนำท่านเดินทางทัวร์ดินแดนอินเดีย
มุมไบ (บอมเบย์) เมืองที่มีทะเลอาระเบียนโอบล้อมอยู่สามด้าน เป็นศูนย์กลางด้านการค้าพาณิชย์ของอินเดีย และยังเป็นศูนย์รวมของศรัทธาความเชื่อและวัฒนธรรมอันหลากหลาย
เมืองปูเน่ ( Pune ) รัฐมหาราษฎร์ เป็นศูนย์กลางของการศึกษา และมีมหาวิทยาลัยและเทคโนโลยี่ต่างๆและยังเป็นเมืองที่ทันสมัยมีคมนาคมเชื่อมต่อเมืองใหญ่ๆมากมาย อีกทั้งยังเมืองเก่าแก่และมีความสำคัญทางวัฒนธรรมของอินเดียมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ และชาวอินเดียเชื่อกันว่าเมืองปูเน่เป็นเมืองแห่งพระพิฆเณศนั่นก็คือมีปฏิหารย์การเกิดขึ้นของพระพิฆเณศที่อยู่ในเมืองเปูเนถึง 8 ปาง ซึ่งเป็นพระพิฆเนศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมืองปูเน่จึงเป็นเมืองเส้นทางมหายาตราสักการะพระพิฆเนศองค์มหาเทพแห่งความสำเร็จ
แผนการท่องเที่ยว
-
Day 11)วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน 2562 กรุงเทพฯ – มุมไบ ( อาหารมื้อ --- / --- / --- )
-
Day 22)วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2562 มุมไบ – ปูเน่ ( อาหารมื้อ เช้า / กลางวัน / ค่ำ )
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านเดินทางสู่ เมืองปูเน่ (Pune) (ระยะทาง 149 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง) ระหว่างทางแวะ เมืองมาฮัท (Mahad) เพื่อนำท่านสักการะเทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรวรทาวนายัก(Shri Varad Vinayak) (เทวสถานที่1) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกและงวงหันไปทางซ้าย ภายในวิหารที่ประดิษฐานพระวรทาวินายกะแห่งนี้ได้รับแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันที่มีความเชื่อว่าไม่เคยมอดดับตั้งแต่ปีค.ศ.1892 โดยวิหารแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 19.5 ตารางเมตรและยอดโดมสูงประมาณ 7.62 เมตร ปลายยอดโดมทำด้วยทองคำ โดยเป็นเทวสถานแห่งเดียวที่อนุญาตให้เข้าไปสักการะภายในวิหารได้ ภายนอกวิหารจะปรากฏช้างจำนวน4 เชือก ประดิษฐานอยู่ทั้ง 4 ด้าน หากผผู้ใดมาเคารพสักการะ“พระศรีวรทาวินายกะ” จะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง เทวะสถานที่แห่งนี้มีตำนานกล่าวไว้ว่าในสมัยโบราณมีกษัตริย์พระนามว่าบิฮิมและทรงมีพระโอรสพระนามว่า รุกขมันกาด ขณะออกป่าล่าสัตว์ได้พบกับ นางมุกกานดา เป็นภรรยาของฤษีนางได้ตกหลุมรักพระโอรสรุกขมันกาดแต่พระโอรสไม่ได้ทรงสนใจนาง นางจึงสาปให้พระองค์เป็นโรคเรื้อนพระองค์จึงไปกราบไหว้ขอพรองค์พระคเณศวรจินดามณีจนหายจากโรคเรื้อนซึ่งพระอินทร์เป็นอีกผู้หนึ่งที่ทราบความต้องการของนางจึงแปลงกายลงมาเป็นพระโอรสรุกขมันกาด นางตั้งท้องและให้กำเนิดบุตรชายนามว่า กริชสมาฟ และได้เติบโตมาอย่างเพียบพร้อมต่อมาเมื่อรู้ความจริงในภายหลังจึงเสียใจและหนีเข้าป่าไปบำเพ็ญตน จนองคพระพิฆเนศได้เสด็จลงมาประทานพรใหเทวะสถานแห่งนี้จึงสร้างขึ้นเพื่อสวดมนตร์อธิษฐานจิตขอพรจากพระคเณศวรสำหรับบุคคลทั่วไปเพื่อให้เกิดความสำเร็จลุล่วงได้ดังใจปรารถนานำท่านเดินทางสู่ เมืองปาลี (PALI) ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของเมืองไรกาด(Raigad)นำท่าน สักการะเทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีบัลลาเลศวา (Shri Ballaleshwar Pali) (เทวสถานที่ 2) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย บริเวณพระเนตรและพระนลาฏ(หน้าผาก)ประดับด้วยเพชร ประทับอยู่บนบัลลังก์ไม้แกะสลัก โดยมี มุสิกะหนูเทวพาหนะของพระองค์ท่าน เหยียบขนมโมทกะอยู่บริเวณด้านหน้าของเทวรูป บริเวณด้านหลังเทวสถานแห่งนี้จะปรากฏ เทวสถานศรีทุนธิ (Shree Dhundi Temple) ที่ประดิษฐานหินพระคเณศซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหินพระเคณศเดียวกับที่ถูกนายกัลยันบิดาของเด็กหนุ่มบัลลาเขวี้ยงทิ้ง หากผู้ใดมาเคารพสักการะ“พระศรีบัลลาเลศวร” จะได้รับแห่งความสมบูรณ์พูนสุขที่บังเกิดต่อครอบครัวตามตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นสถานที่ที่เด็กหนุ่มนามว่า “บัลลา” เป็นบุตรของนายกัลยันกับนางอินทุมาตี และเป็นผู้นับถือนิกายคณะพัทยะ(Ganabadya) หรือนิกายที่นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ทำให้เริ่มเกิดความเลื่อมใสและบูชาองค์พระคเณศวรตามบัลลาเป็นผลให้คนในหมู่บ้านคิดว่าบัลลาจะเป็นผู้ชักนำให้เด็กหนุ่มในหมู่บ้านเกิดความเกียจคร้านจึงพากันไปตำหนิบิดาของบัลลา ทำให้ผู้เป็นบิดาโกรธและลงโทษบัลลาอย่างหนักแล้วจับมัดทิ้งไว้ข้างเทวรูปขององค์พระคเณศวรที่ตนเองทุบแตกจนกระทั่งพระพิฆเนศเสด็จลงมาประทานพรให้แก่เด็กชายบัลลา และเนรมิตเทวสถานแห่งนี้พร้อมกับสวยัมภูมูรติ ณ ที่แห่งนี้ ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะพระคเณศวรได้แปลงร่างพราหมณ์ลงมาช่วยรักษาบัลลา แต่บัลลาจำได้จึงกราบและขอให้ประทับอยู่ ณ ที่นี้ตลอดไปร่างของพราหมณ์จึงกลายร่างเป็นเทวรูปหินพระคเณศวรตั้งอยู่ในวัดแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน จึงเชื่อว่าถ้าได้มากราบไหว้ขอพร ณ เทวะสถานแห่งนี้แล้ว จะทำให้ปราศจากความเศร้าหมองเป็นที่รักของผู้พบเห็น และหายจากโรคภัยกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันนำท่านเดินทางสู่ เมืองปูเน่ (Pune) ซึ่งอยู่ในรัฐมหาราษฎร์ เป็นศูนย์กลางของการศึกษา และมีมหาวิทยาลัยและเทคโนโลยี่ต่างๆและยังเป็นเมืองที่ทันสมัยมีคมนาคมเชื่อมต่อเมืองใหญ่ๆมากมาย อีกทั้งยังเมืองเก่าแก่และมีความสำคัญทางวัฒนธรรมของอินเดียมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ และชาวอินเดียเชื่อกันว่าเมืองปูเน่เป็นเมืองแห่งพระพิฆเณศนั่นก็คือมีปฏิหารย์การเกิดขึ้นของพระพิฆเณศที่อยู่ในเมืองเปูเนถึง 8 ปาง ซึ่งเป็นพระพิฆเนศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมืองปูเน่จึงเป็นเมืองเส้นทางมหายาตราสักการะพระพิฆเนศองค์มหาเทพแห่งความสำเร็จ"ค่ำ รับประทานอาหาค่ำพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ Vivanta by Taj Blue Diamond Hotel - 5* หรือเทียบเท่า
-
Day 33)วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 ปูเน่ – หมู่บ้านเลนยาดรี – เมืองโอซาร์ – เมืองรานจานกอน - ปูเน่ ( อาหารมื้อ เช้า / กลางวัน / ค่ำ )
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านเดินทางสู่ หมู่บ้านเลนยาดรี (Lenyadri) (ระยะทาง 96 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ) ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองปูเน่ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นสถานที่กำเนิดพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระแม่ปารวตีปางหนึ่งของพระอุมาเทวี ทรงทำพิธีขอบุตรโดยบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ภายในถ้ำ ระยะเวลาผ่านไป 12 ปี จนถึงวันแรม 4 ค่ำ เดือน 9หรือวันคเณศจตุรถีในปัจจุบัน พระแม่ปารวตีได้ทรงปั้นหุ่นดินเหนียว และทำการประกอบพิธีกรรมต่ออยู่นั้น ผลแห่งการบำเพ็ญเพียรภาวนาได้สัมฤทธิ์ผล รูปปั้นดินเหนียวกลับกลายมามีชีวิต เป็นองค์พระพิฆเนศในวัยเยาว์ที่มีพระชนม์มายุ 10 พรรษา หรือที่เรียกปางอวตารนี้ว่า “บาล คณปติ” ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะจากนั้นนำท่าน สักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีคีรีจัตมา (Shri Girijatmaj Lenyadri) (เทวสถานที่3) ซึ่งการมาสักการะเทวะสถานแห่งนี้มีความเชื่อว่าพระศิวะมหาเทพผู้เป็นใหญ่เคยให้พรไว้ว่า“ใครก็ตามที่ระลึกถึงองค์พระพิคเณศก่อนที่จะเริ่มกระทำการงาน หรือกิจการใดๆแล้วการงานหรือกิจการของผู้นั้นจะประสบผลสำเร็จทุกครั้งไป” โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือและงวงหันไปทางซ้ายเทวสถานแห่งนี้ภายในเทวสถานมีขนาดพื้นที่ด้านยาว 15.90 เมตร ด้านกว้าง 15.30 เมตรและมีความสูง 2.10 เมตรภายในเทวสถานแห่งนี้ไม่มีการใช้หลอดไฟให้แสงสว่างโดยใช้แสงสว่างจากแสงของพระอาทิตย์ หากผู้ใดมาเคารพสักการะ“พระศรีคีรีจัตมากา” จะประสบความสำเร็จในการฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง วัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาบนฝั่งแม่น้ำกุกติที่เมืองเลนยาดรี เทวะสถานแห่งนี้เป็นเทวะสถานแห่งเดียวจากทั้งหมด 8 แห่ง ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาที่อยู่ในถ้ำบนภูเขา ที่มีถ้ำรวมกัน 18 ถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นถ้ำของทางศาสนาพุทธ โดยเทวสถานแห่งนี้อยู่ภายในถ้ำอันดับที่ 8 ที่หันหน้าไปทางทิศใต้และใช้วิธีการขุดเจาะถ้ำเป็นโพรงเข้าไป ต้องขึ้นบันไดถึง 283 ขั้น นำท่านสักการะองค์พระคเณศและสถานที่ชื่อว่าเป็นประสูติขององค์พระพิคเณศวรนำท่านออกเดินทางสู่ เมืองโอซาร์ (OZAR) (ระยะทาง 15 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที)นำท่านสักการะเทวรูป พระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีวิฆเนศวร (Shri Vigneshwar Ozar) (เทวสถานที่4) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกและงวงหันไปทางซ้ายบริเวณพระเนตรประดับด้วยทับทิมพระนลาฏ(หน้าผาก) ประดับด้วยเพชรและพระนาภี(สะดือ) ประดับด้วยอัญมณี โดยมีพระนางสิทธิกับพระนางพุทธะ 2 พระมเหสีประทับอยู่ด้านข้างทั้ง 2 ด้าน เทวสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นประมาณปีคริสต์ศักราชที่1785 โดยสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยดำริของ พลเอกชิมาจิอปปา(Shimaji Appa) แห่งแคว้นมหารัชตะ หลังมีชัยชนะจากสงครามกับโปรตุเกสที่ปกครองครองแคว้นวาไซและซาชตี้ ซึ่งเทวสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคูคาดี้ (Kukadi River) หากผู้ใดมาเคารพสักการะ“พระศรีวิฆเนศวร”จะได้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกประการโดยไม่เกิดอุปสรรคใดๆทั้งปวงตามตำนานกล่าวไว้ว่า กษัตริย์อภินันทะ ได้ประกอบพิธีบูชายัญเพื่อประสงค์ที่จะไปจุติเป็นอินทรเทพ เมื่อพระอินทร์ทราบข่าวจึงส่งกาละ (ตัวหน้ากาลหรือเวลาเหมือนผู้ทำลาย) ลงมาในร่างวินะสูร เพื่อขัดขวางการทำพิธีไม่ให้สำเร็จทำให้เกิดความทุกข์เข็ญเดือดร้อนแก่มวลมนุษย์ และพิธีกรรมต่างๆก็ไม่สามารถที่จะประสิทธิผล ได้ร้อนถึงเหล่าเทพเทวาทั้งหลายพากันมาสวดมนตร์อ้อนวอนพระศรีคเณศวร ต่อมาพระคเณศวรได้รับคำอัญเชิญจากเทพออกไปสู้กับวินะสูรจนได้รับชัยชนะทำ ให้ท่านได้รับสมญาว่า “คณะ” และวินะสูรได้ขอร้องให้พระคเณศวรใช้คำนำหน้าว่าคณะนี้เป็นต้นมานำท่านร่วมสักการะบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลและเทวรูป ณ ที่แห่งนี้ยังหมายถึงความสะดวกในกิจการงานต่างๆ ปัดเป่าทุกข์ภัยและอุปสรรคในการทำงานต่างๆอีกด้วย สวยัมภูมูรติแห่งนี้ว่า “พระศรีวิฆเนศวร” ที่มีความหมายว่าผู้ขจัดอุปสรรคและภยันตรายตามตำนานปรากฏในมุทคลปุราณะกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย เดินทางสู่ เมืองรานจานกอน (Ranjangoan) ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองปูเน่ ตามฮินดูคติ ถือว่าเมืองรานจานกอน คือ เมืองมณีปุระซึ่งเป็นสถานที่ที่พระศิวะได้ทรงทำพิธีบูชาพระพิฆเนศ และทรงได้รับพรสมปรารถนาจนสามารถสังหารตรีปุราสูรด้วยธนูเพียงดอกเดียว ตรีปุราสูรนั้นเป็นบุตรของฤาษีคฤตสมาชที่เกิดจากการจาม และเป็นอสูรผู้บูชาและได้รับพรจากพระพิฆเนศ ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะสักการะพระพิฆเนศ องค์ศรีมหาคณปติ (Shri Mahaganapati ) (เทวสถานที่ 5) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกและงวงหันไปทางซ้ายและพระนลาฏ(หน้าผาก) มีลักษณะกว้างโดยมีพระนางสิทธิกับพระนางพุทธะ 2 พระมเหสีประทับอยู่ด้านข้างทั้ง 2 ด้าน เทวะตำนานเล่าว่าขณะที่ฤาษีคฤตสมาช นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาได้จามออกมาเป็นกุมารน้อยผิวสีแดง จึงสอนให้กุมารสวดบูชาต่อพระพิฆเนศ กุมารน้อยบำเพ็ญเพียรกว่าห้าพันปีทำให้พระพิฆเนศพอใจเป็นอย่างมากจึงประทานพรให้แต่กุมารขอให้ตนเองมีอำนาจเหนือ 3 โลก พระพิฆเนศให้ตามที่ขอโดยการเนรมิตประสาท 3 หลังคือประสาททองคำ ประสาทเงิน ประสาทโลหะ และตรัสว่า “ต่อไปนามของเจ้าคือ ตรีปุระ ในวันใดที่เจ้าชั่วร้าย ประสาทเหล่านี้จะถูกทำลายและเจ้าจะถูกทำลายด้วยศรของพระศิวะบิดาของข้า” ต่อมาตรีปุระลำพองตนรุกรานทั้ง 3 โลก องค์พระศิวะจึงได้เสด็จมาปราบ และหลังจากบวงสรวงต่อพระพิฆเนศ แล้วพระศิวะก็ปราบตรีปุระได้สำเร็จ จึงเชื่อว่าเทวะสถานแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระศิวะบวงสรวงต่อพระพิฆเนศ การสักการะองค์ศรีมหาคณปติ จะทำให้มีอำนาจยิ่งใหญ่สามารถพิชิตมารร้ายและอุปสรรคทั้งหลายได้สำเร็จ ณ ที่แห่งนี้ เป็นที่ที่มหาเทพศิวะได้จุติมาปราบยักษ์ตนหนึ่งที่ชื่อว่าตรีประสูรซึ่งได้รับพรจากคเณศวรว่าศิวะเทพเท่านั้นที่สามารถกำจัดได้ เมื่อมหาศิวะเทพได้ต่อสู้เพื่อกำจัดอสูรตนนี้ก็ไม่สามารถปราบลงได้เทพนพเคราะห์ดวงดาวทั้งเก้าแห่งจักรวาลก็ได้กราบทูลแด่องค์ศิวะเทพให้บูชาพระคเณศวรก่อนแล้วจึงลงมือจึงจะสำเร็จและศิวะเทพก็ได้กระทำพิธีบูชาพระคเณศวรก่อนไปกำจัดยักษ์จนสำเร็จ และสถานที่แห่งนี้เองเป็นที่ที่พระศิวะได้สถาปนามหาคณปติขึ้น และการสักการะบูชาเทวะสถานแห่งนี้เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ๆที่ดี มีลาภยศ มีความยิ่งใหญ่ หากผู้ใดมาเคารพสักการะ“พระมหาคณปติ” จะประสบความสำเร็จดั่งสิ่งที่ปรารถนาทุกประการค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ Vivanta by Taj Blue Diamond Hotel - 5* หรือเทียบเท่า
-
Day 44)วันพุธที่ 11 กันยายน 2562 ปูเน่ – เมืองมอรกอน - เมืองสิทธิเดก - เมืองเธอร์ - ปูเน่ ( อาหารมื้อ เช้า / กลางวัน / ค่ำ )
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมจากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองมอรกอน (Morgon) หรือหมู่บ้านนกยูง (ระยะทาง 64 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) ซึ่งตัวหมู่บ้านมีลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายกับนกยูงอีกทั้งในอดีตยังเป็นที่พำนักของฝูงนกยูงจำนวนมาก ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองปูเน่ ตามตำนานมีความเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ศีรษะของอสูรสินธุตกลงมาจากการทำมหายุทธ์กับพระศรีมยุเรศวรปางขององค์พระพิฆเนศทรงมยุรา (หรือนกยูง 1 ใน 3 เทวพาหนะ) เสด็จลงมาปราบสินธุอสุรา และได้สังหารโดยการบั่นศีรษะของอสูรตนนี้จนเกิดปาฏิหาริย์ที่เลือดของอสูรฉาบทาไปทั่วสวรรค์ บันดาลเป็นผงสีชาดที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้าที่เรียกว่า “ผงสินธุ” และยังเป็นสถานที่เหล่าปัญจเทวตาที่ประกอบไปด้วย พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระศักติ และพระสุริยะ ได้ทรงขอให้พระพิฆเนศเสด็จประทับ ณ สถานที่แห่งนี้ตลอดไป พระพิฆเนศจึงเนรมิตสวยัมภูมูรติซึ่งแสดงถึงการคุ้มครองหมู่บ้านแห่งนี้สืบต่อไปตามตำนานปรากฎในคเณศปุราณะนำท่าน สักการะเทวรูปพระพฆเนศณเทวสถานศรีโมเรศวา (Shri Moreshwa Mandir) (เทวสถานที่ 6) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้จะมีงวงหันไปทางซ้ายโดยมีพระมเหสี 2 พระองค์คือพระนางสิทธิและพระนางพุทธะประทับอยู่ทั้ง 2 ด้าน เทวสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรพาหามณีตั้งอยู่ตรงกลางของหมู่บ้านมอรกอนลักษณะภายนอกจะปรากฏเสามินาเร่ต์ทั้งสี่มุมมีทางเข้า 4 ด้าน ยกกำแพงล้อมรอบสูง 15 เมตร คล้ายคลึงกับมัสยิดทางศาสนาอิสลามเพื่อเป็นการป้องกันการรุกราน เทวสถานแห่งนี้ในยุคสมัยโมกุล พระแม่ปาราวตีได้ไปอยู่บนภูเขาเมรุอาศัยอยู่ด้วยความสงบ พระศิวะได้ให้มนตราของGananpati แก่พระแม่ปาราวตี ให้นางสวดมนต์นี้เป็นเวลา 12 ปี Gananpati ก็ได้ให้พรแก่พระนางตามความต้องการหลังจากนั้นพระนางก็ได้ปั้นรูปปั้นคเณศขึ้นจากดินเหนียวและทำการบูชา ทันใดนั้นรูปปั้นนั้นกลับมามีชีวิตขึ้นมา และได้ฆ่ากษัตริย์ Sindhu พระศิวะได้ให้ชื่อว่า คเณศ โดยให้พรว่าถ้าใครจำพระคเณศ รำลึกถึงคเณศก่อนทำการใดๆ งานนั้นจะประสบความสำเร็จทุกประการ วิหารหลักของวัดหันหน้าไปทางทิศเหนือ กลางหมู่บ้านเหมือกับเป็นป้อมขนาดเล็ก ลานวัดประกอบด้วยโดมโดยรอบสูง 50 ฟุตและมีเสา 4 เสา ในแต่ละมุมวิหารหลักสร้างจากหินสีดำ หากผู้ใดมาเคารพสักการะ “พระศรีมยุเรศวร” จะปราศจากอุปสรรคทั้งปวงภยันตรายที่เข้ามาก็แผ้วพานมลายสูญนำท่านเดินทางสู่ เมืองสิทธเดก สักการะศรีสิทธิวินายัก วัดตั้งอยู่ในที่ห่างไกลจากชุมชน ตามตำนานเล่าว่าสถานที่แห่งนี้คือจุดที่พระพรหมสร้างโลก และเป็นสถานที่พระวิษณุปราบมาธุสูรและไกตสูรที่มาก่อกวนพระพรหม ขณะกำลังสร้างโลกศรีสิทธิวินายัก เป็นองค์เดียวในอักษฏวินายักที่งวงของพระพิฆเนศหันไปทางขวามือของพระองค์ ซึ่งถือว่าเป็นเทวลักษณะที่หายากและปรากฎขึ้นเพียงแห่งเดียว ผู้ที่สักการบูชาองค์ศรีสิทธิวินายกะจะประสบความสำเร็จในเรื่องงานทุกประการกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย นำท่าน สักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีสิทธิวินายัก (Shri Siddhivinayak )(เทวสถานที่ 7) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือและงวงหันไปทางขวา ซึ่งมีความหมายว่าให้พรสมปรารถนาที่ทันใจแต่ผู้สักการะนั้นต้องเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการสวดภาวนา เทวสถานแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่เดียวที่มีพระสวยัมภูมูรติที่งวงหันไปทางขวา มีตำนานเล่ากันว่า เมื่อพรหมสร้างโลกจากการช่วยเหลือของพระคเณศวร ขณะที่พระวิษณุบำเพ็ญตนอยู่เมื่อครั้นตื่นจาก บรรทมพร้อมกับการเกิดของอสูร 2 ตน คือ มธุ และ ตัยตะบะ และได้ทำการต่อสู้กับอสูรเป็นเวลาถึงห้าพันปีก็ไม่สามารถเอาชนะได้พระศิวะก็ลงมาโปรดแนะนำให้วิษณุเทพบูชาพระคเณศวรแล้วจะได้ปราบยักษ์สองตนนั้นได้ หลังจากพระวิษณุได้ผ่านพิธีบูชาพระคเณศวรแล้วก็สามารถปราบยักษ์สองตนนั้นได้อย่างง่ายดาย และที่ตั้งของมหาวิหารแห่งนี้ก็เป็นที่ที่พระวิษณุได้สังหารยักษ์สองตนนั้นเอง การบูชาเพื่อสักการะกราบไหว้ขอพรให้กระทำการหรือกิจการประสบผลสำเร็จร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุข หากผู้ใดมาเคารพสักการะ “พระศรีสิทธิวินายัก” จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานทุกประการจากนั้นเดินทางต่อไปยัง เมืองเธอร์ (ระยะทาง 86 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชั่วโมง) มีความเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ตั้งอาศรมของฤาษีกปิละผู้ครอบครองแก้วจินตามณีหรือแก้วสารพัดนึกแห่งองค์อินทร์และเป็นสถานที่ที่พระพิฆเนศเสด็จลงมาช่วยแย่งชิงแก้วจินตามณีจากคณราชโอรสแห่งกษัตริย์อภิจิตและพระนางกุนวดีผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ สุดท้ายคณราชถูกสังหารลง ณ ที่แห่งนี้ หลังจากฤาษีกปิละได้รับแก้วจินดามณีคืนมา จึงได้อธิษฐานขอองค์พระพิฆเนศให้ประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ตลอดไป พระพิฆเนศจึงเนรมิตสวยัมภูมูรติเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับอยู่ฤาษีกปิละ จึงได้ถวายแก้วจินดามณีประดับแด่องค์เทวรูป ตามตำนานปรากฎในมุทคลปุราณะนำท่าน สักการะเทวรูป พระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีจินดามณี (Shri Chintamani) (เทวสถานที่ 8) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้ายพระเนตรของเทวรูปประดับด้วยเพชรนิลจินดาด้านหลังวิหาร แห่งนี้มีทะเลสาบคาดัมธีรธา (Kadambteertha Lake) นำท่านสักการะ องค์พระพิคเณศ ณ เทวสถานศรีจินดามณี (SHRI CHINTAMANI) เมื่อพระเจ้าโมรยะโกสาวิได้บรรลุสัจธรรมที่เมืองนี้ พระราชโอรสของพระองค์จึงสร้างวัดนี้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ดังนั้นการกราบไหว้ขอพระจากเทวะสถานแห่งนี้ จะส่งผลให้ผู้บูชาเกิดความสมบูรณ์พูนสุข และอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินจินดามณี ซึ่งมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรามยณะในตอนที่ ฤาษีโคตรมะได้สาปแช่งพระอินทร์ที่มาเสพสังวาสกับภรรยาของตน ผู้มีนามว่า นางกาลอัจนา ซึ่งเป็นแม่ของนางสวาหะพาลีและสุครีพ หรือย่าของหนุมาน โดยฤาษีโคตรมะได้สาปให้พระอินทร์มีโยนีขึ้นตามร่างกายจำนวนพันโยนีหรือสหัสโยนี ทำให้ร่างกายองค์อินทร์เกินเป็นรูตามตัวโดยภายหลังฤาษีโคตมะแนะนำให้พระอินทร์ทรงบูชาพระพิฆเนศเพื่อเป็นการขอขมากรรมและถอนคำสาป พระพิฆเนศได้ทรงโปรดพระอินทร์ด้วยการให้สรงน้ำ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ และรูตามร่างกายของพระอินทร์ได้แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาแทน จึงเป็นที่มาของชื่อ พระสหัสสนัย หรือเทพพันตา หากผู้ใดมาเคารพสักการะ“พระศรีจินดามณี” จะได้รับความสมหวังทุกประการ ดั่งขอพรจากแก้วจินดามณีค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ Vivanta by Taj Blue Diamond Hotel - 5* หรือเทียบเท่า
-
Day 55)วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2562 ปูเน่ – มุมไบ ( อาหารมื้อ เช้า / กลางวัน / ค่ำ )
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านสักการะองค์ทัคฑูเสฐ (Dugdusheth) พระพิฆเนศประจำเมืองปูเน่ และมีชื่อเสียงของเมืองปูเน่ ภายในวัดประดิษฐานพระพิฆคเณศทรงเครื่องทองคำและเป็นพระพิฆเนศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ซึ่งในเทศกาลกันปาตีหรือเทศกาลคเณศจตุรถีของทุกปี จะมีการย้ายพระพิฆคเณศทรงเครื่องออกมาประดิษฐานยังศาลาที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จาริกแสวงบูญจำนวนมหาศาลได้เข้ามาชม และสักการะองค์เทวรูปของพระพิฆคเณศเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของผู้สักการะ วัดแห่งนี้สร้างโดยพ่อค้าขนมหวานนามว่าศรีมันตราดักดูเชท์ฮาลไว(Shreemanta Dagdusheth Halwai) ในช่วงปีคริสต์ศักราช 1883 ซึ่งเขาได้สูญเสียบุตรชายจากกาฬโรค อันนำมาซึ่งความโศกเศร้าเพื่อเป็นการปลดปล่อยพันธนาการแห่งความทุกข์ มีคนแนะนำเขาให้สร้างเทวรูปพระพิฆคเณศและเทวรูปเทพทัตตะไตรยะ แต่สุดท้ายสร้างได้เพียงเทวรูปของพระพิฆคเณศ และเกิดเป็นวิหารแห่งพระพิฆคเณศแห่งนี้ ดังเช่นในปัจจุบันนำท่านเดินทางสู่ เมืองบุบไบ หรือเมืองที่มีชื่อในอดีตว่าบอมเบย์ แต่ในปัจจุบันเรียกว่า มุมไบ จากในอดีตที่เป็นเกาะเล็กๆ เติบโตขึ้นมาเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าและเป็นเมืองอุตสาหกรรมในอินเดีย เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอินเดียและนอกจากนั้นยังมีฐานะเป็นฮอลลีวู้ด หรือคนมุมไบ เรียกว่า บอลลีวู๊ด เนื่องจากมุมไบเป็นเมืองที่ผลิตอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาช้านานและในแต่ล่ะปีจะมีหนังออกมากมายกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันนำท่านสักการะ ณ. วัดสิทธิวินัยยัค (Siddhivinayak Temple) (เทวสถานที่9) ที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย เป็นวัดเก่าแก่ และมีชื่อเสียงที่สุดในอินเดีย เพราะเป็นวัดที่นักการเมือง นักแสดง และผู้มีชื่อเสียงในอินเดียให้ความศรัทธา วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1801 ภายในเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพิฆเนศ หรือเทพเจ้าแห่งความสําเร็จ ซึ่งแกะสลักจากหินสีดำ คนอินเดียเชื่อกันว่าครั้งหนึ่งควรจะเดินทางมาสักการะพระพิฆเนศที่วัดแห่งนี้เพื่อขอพรให้สมปรารถนานำท่านชม เทศกาลคเณศจตุรถี นับเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการบูชาพระพิฆเนศ ในช่วงวันแรม 4 ค่ำ เดือน 9 และวันแรม 4 ค่ำ เดือน 10 ซึ่งถือว่าเป็นวันกำเนิดของพระพิฆเนศ เชื่อกันว่าพระองค์จะเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อ ประทานพรอันประเสริฐสูงสุดแก่ผู้ศรัทธาพระองค์ท่าน เทศกาลนี้มีการจัดพิธีกรรมบูชาและการเฉลิมฉลอง อย่างยิ่งใหญ่ทั่วอินเดียและทั่วโลก โดยมีการจัดสร้างเทวรูปพระพิฆเนศขนาดใหญ่เพื่อเข้าพิธีบูชา จากนั้นจะแห่องค์เทวรูปไปทั่วเมือง และมุ่งหน้าไปสู่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายต่างๆ ถนนทั่วทุกแห่งจะมีผู้คนออกมาชมการแห่องค์เทวรูป ผู้ศรัทธาทุกคนแต่งชุดส่าหรีสีสันสวยงาม ขบวนแห่ จะไปสิ้นสุดที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่น้ำคงคา แม่น้ำสรัสวตี ฯลฯนำท่านร่วมเข้าพิธีในตอนเย็น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองส่งพระองค์กลับสู่สวรรค์การแห่เทวรูปขนาดใหญ่ออกจากวัดหรือเทวสถานไปรอบๆเมือง และมุ่งหน้าไปยังแม่น้ำหรือทะเล เมื่อผู้ศรัทธาได้แห่เทวรูปมาพบกันยังแม่น้ำหรือทะเล ซึ่งเป็นจุดนัดหมายแล้ว ก็จะทำการลอยองค์เทวรูปพระพิฆเนศลงสู่ม่น้ำหรือทะเล เสมือนการส่ง พระองค์กลับสู่วิมาน ผู้ที่เข้าร่วมพิธีสวดบูชาและพิธีลอยเทวรูปลงน้ำ จะได้รับความคุ้มครองจากพระองค์ และจะได้รับสิริมงคลตลอดปีค่ำ รับประทานอาหารค่ำพักผ่อนตามอัธยาศัยที่ JW MARIOTT JUHU HOTEL - 5* หรือเทียบเท่า
-
Day 66) วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562 มุมไบ - กรุงเทพฯ ( อาหารมื้อ เช้า / กลางวัน / ค่ำ )
- เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมนำท่านเดินทางสู่ ถ้ำช้าง (ELEPHANTA CAVE) รายการเที่ยว“ถ้ำช้าง” (ELEPHANTA CAVE) ล่องเรือท่ามกลางมหาสมุทรอินเดีย สู่ “นมัสการ พระพิฆเนศ” (Elephanta Island) หรือ “ฆรบุรี” ซึ่งชาวโปรตุเกสเรียกเกาะแห่งนี้ว่า “พระพิฆเนศ” เพราะเคยมีรูปสลักช้างขนาดยักษ์ตั้งอยู่ แต่ปัจจุบันได้เคลื่อนย้ายไปไว้ยังสวนสัตว์ในเมืองมุมไบ นำชม “ถ้ำเอเลเฟนต้า” (Elephanta Cave) ซึ่งเป็นเทวาลัยถ้ำ อัน อลังการตั้งอยู่หลายแห่ง ภายในถ้ำถูกสลักเสลาอย่างสวยงาม เทวาลัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ขุดเจาะขึ้นใน ศตวรรษที่ 7 และ 8 งานประติมากรรมชิ้นเอกเป็น เทวรูป “มเหศวรมูรติ” หรือ “พระตรีมูรติ” ขนาดครึ่ง องค์ สูง 5 เมตร เป็นรูปที่รวมเทพทั้ง 3 พระองค์ คือ “พระศิวะ พระพรหม และพระนารายณ์” มีสามเศียร แสดงปางผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย ซึ่งมีความเชื่อกันว่า หากได้ขอพรจาก “พระตรีมูรติ” จะมีความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิต ทั้งความรัก และการงาน ให้ท่านได้มีเวลาชื่นชม ความงดงามภายในถ้ำและบันทึกภาพ เป็นที่ระลึก ตามอัธยาศัยกลางวัน รับประทานอาหารกลางวันบ่าย จากนั้นนำท่านชม ประตูสู่อินเดีย ( GATEWAY OF INDIA ) อังกฤษได้สร้างเพื่อรับเสด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และราชินีแมรี่ ที่เสด็จมาเมื่อปี 1911 วัสดุที่ใช้สร้างเป็นหินทรายสีน้ำผึ้ง ยามที่พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกแสงอาทิตย์จะกระทบลงมาที่ประตูเปลี่ยนสีจากสีทองเป็นสีส้มและจากสีส้มเป็นสีชมพูนำเที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ฉัตรปาตี ชีวาจีมหาราช วาสตูสังกราหาลายา (Chhatrapati Shivaji Maharaj Vastu Sangrahalaya) หรือชื่อเดิมคือ Prince of Wales Museum of Western India (ปิดวันจันทร์) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีความงดงามที่จัดแสดงเรื่องราวด้านศิลปะ โบราณคดี และประวัติศาสตร์ และธรรมชาติจากทั่วทั้งอินเดียและเอเชีย ในบรรดาสิ่งของที่จัดแสดงมีอยู่ประมาณ 50,000 รายการของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ครอบคลุมชิ้นงานเซรามิกโบราณ ผลงานศิลปะสำหรับการประดับตกแต่ง เช่น ตุ๊กตา ภาพจิตรกรรม และงานประติมากรรม สถานที่แห่งนี้เปิดทำการครั้งแรกในปี 1922 ในชื่อ Prince of Wales Museum of Western India ต่อมา ได้รับการตั้งชื่อใหม่เคือ Chhatrapati Shivaji Maharaj Vastu Sangrahalaya พิพิธภัณฑ์ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1914 ออกแบบโดยนาย George Witte ซึ่งการออกแบบเป็นบบ Indo-saracenic คือเป็นสถาปัตยกรรมผสมระหว่างอินเดียและยุโรปนำท่านชม สถานีรถไฟบอมเบย์ ชาตราปาตี สีวิจี เทอร์มินัส (Chhatrapai Shivaji Terminus) หรือชื่อเดิมคือ Victoria Terminus ซึ่งชื่อเดิมได้รับการตั้งชื่อตาม พระนามพระราชินี วิคตอเรีย ถูกออกแบบโดย Frederick Stevens เเละสร้างเสร็จในปี 1887 เป็นสถานีรถไฟที่มีคนใช้บริการมากที่สุดในเอเชีย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกจากนั้นนำชม “น้ำพุเทพีฟลอร่า” (Flora fountain) น้ำพุที่เป็นรูปปั้นแกะสลักของเทพีฟลอร่า ที่งดงามตาม สถาปัตยกรรมกรีก ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมุมไบนำท่านชม โดบิกาต (Dhobi Ghat) เป็นสถานที่ซักผ้าที่มีชื่อเสียงของเมืองมุมไบ และเป็นลานซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะที่นี่ต้องใช้ลูกจ้างในการซักผ้ามากถึงห้าพันคน เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงแรม โรงพยาบาล หรือชาวบ้านในเมืองมุมไบก็ส่งมาให้สถานที่เห็นนี้เพื่อซักรีด จากนั้นอิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งตามอัธยาศัยค่ำ รับประทานอาหารค่ำได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบิน22.50 น. เช็คอินที่สนามบิน
-
Day 77) วันเสาร์ที่ 14 กันยายน 2562 มุมไบ - กรุงเทพฯ ( อาหารมื้อ เช้า / กลางวัน / ค่ำ )
- 01.50 น. เดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบิน แอร์อินเดีย เที่ยวบินที่ AI 33007.45 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยความประทับใจไปอีกนาน
Gallery